1. ถ้าขับช้าๆเอื่อยๆไปก่อนจะดับเครื่องก็น่าจะโอเค และถ้าเปิดฝากระโปรงได้ก็จะยิ่งดี จะได้ไม่มี Heat Soak แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม เช่น สถานที่ปลอดภัยหรือไม่ ลมฟ้าอากาศดีหรือไม่ดี
2. ไม่จริง เพราะถ้าอย่างนั้นที่ความเร็วสูงสุด ความเร่งก็เป็นศูนย์ก็ต้องประหยัดน้ำมัน แต่ความเป็นจริงกินน้ำมันน่าดู บอกไม่ได้ว่าตอนไหนจะประหยัดที่สุดจนกว่าจะเอาเครื่องยนต์ขึ้น Dynamometer แล้ววัด Torque, RPM และ Specific Fuel Consumption (SFC) ออกมา Plot เป็น Performance Map แล้วขับให้ Operate ให้เครื่องยนต์อยู่ตรงเกาะกลางของ Map นั้น ซึ่งเอาเข้าจริงๆอาจจะไม่ได้เพราะเลือกอัตราทดรวม (เกียร์ เฟืองท้าย ยาง) ไม่ลงตัวในกรณีเป็นรถที่เปลี่ยนเครื่องมา หรือ อาจจะเป็นรถบ้านที่ทำมากจากโรงงานลงตัว (ในอากาศนิ่ง) แต่มาวิ่งทวนลม(แรงๆ) ดูตัวอย่างของ Performance Map หน่อยแล้วกัน
![](http://cvt.com.sapo.pt/control/epm.gif)
ถ้าจะให้ประหยัดที่สุดในความเร็วที่ต้องการ ต้องเลือกอัตราทดรวมให้ได้ความเร็วที่ต้องการโดยที่ Torque และ RPM มาตรงกับที่เป็นสีฟ้า (Cyan)
3. อันนี้ผมพอจะรู้คร่าวๆ ไม่ Qualified พอที่จะตอบได้กระจ่าง ขอไม่ตอบแล้วกัน
4. ความต้านทานเวลารถวิ่งส่วนใหญ่แล้วก็มาจาก Aerodymics นี่แหล่ะ ถ้าสามารถหาทางลดได้ก็จะช่วยเรื่องประหยัดน้ำมันได้มาก ลองหาดู VDO พวกที่ขี่จักรยานทำลายสถิติความเร็วดู จะเห็นว่ามีรถวิ่งบังด้วย ความเร็วของจักรยานเห็นแล้วจะตกใจ เพราะถ้าไม่มีรถบังลมจะไม่มีทางไปได้เร็วขนาดนั้น ส่วนเรื่องคิดจะทำบ้างนั้นขอแนะนำว่าอย่าดีกว่า เกิดคันหน้าเบรคขึ้นมาจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตามจะชนเอาง่ายๆ ประหยัดน้ำมันนิดหน่อย แต่ต้องเสียเวลา เสียอารมณ์ เสียเงินค่าซ่อม เสียอีกสารพัด...อาจจะสร้างความลำคาญให้แก่รถคันหน้าทะเลาะกันเปล่าเพราะคันหน้าก็กลัวจะโดนจิ้มท้าย
F1 เท่าที่เห็นๆ ไม่มีคันไหนวิ่งถึง 20000 RPM ซักคัน ปีนี้เห็นอย่างมากก็เกือบ 19000 RPM ส่วน Cosworth เองนั้นเห็นโชว์ว่าหมุนสองหมื่นกว่ารอบก็แค่บน Dyno ของจริงยังไม่เห็นใช้มากขนาดนั้น