ขอเปรียบเทียบเป็นเรื่องของจักรยานก็แล้วกันครับ จะเห็นภาพได้ชัดเจนกว่า
การหมุนของรอบขา = รอบเครื่องยนต์
แรงถีบบันได = พลังของเครื่องยนต์
จานหน้า = ชุดเกียร์
เฟืองหลัง = เฟืองท้าย
ขอยกตัวอย่างจักรยานแม่บ้านธรรมดาๆ อย่าง LA นี่แหละครับ
รถแม่บ้านคันที่ 1 มีเฟืองท้าย 20 ฟัน / คันที่สองมีเฟืองท้าย 18 ฟัน / คันที่สามเฟืองท้าย 16 ฟัน
คันที่มีเฟืองท้ายขนาดใหญ่ (เช่นคันที่ 1) ก็จะใช้แรงถีบนิดหน่อยรถก็พุ่งออกไปแล้ว ในขณะที่คันที่มีเฟืองท้ายเล็กอย่างคันที่ 3 ซึ่งมี 16 ฟัน ก็ต้องใช้พลังกดจากบันไดเยอะหน่อยในการออกตัว
- ถ้าขับในเมือง ขับๆ เบรกๆ ออกตัวใหม่บ่อยๆ รถใช้เฟืองท้ายใหญ่ก็จะเบาแรงกว่า ปั่นสบายเท้ากว่า เพราะกดนิดเดียวรถก็พุ่งออกไปแล้ว
- แต่ถ้าขับยาวๆ รถไม่ติด รถคันที่ 3 กลับจะโดดเด่นกว่า เพราะเนื่องจากเฟืองท้ายไม่จัดมาก ทำให้รอบขายังเหลือ คือขายังสามารถถีบบันไดส่งพลังให้แก่รถได้ ต่างจากคันแรกที่ขาหมุนปั่นจี๋จนแทบจะหลุดจากบันไดเลย เผลอๆ จะเสียการทรงตัวเสียอีกเพราะรอบขามันเกิน
- ส่วนรถคันที่ 2 ที่มี 18 ฟัน ก็จะออกอาการกลางๆ คือรอบต้นก็ไม่จัด ปลายก็ยังพอได้
รถยนต์ก็เช่นกันครับ เขามีสเปคบอกว่าเกียร์ไหนใช้เฟืองทดเท่าไหร่ อย่างไร มันมีประโยชน์สำหรับคนที่ทำรถเอาไว้ลงแข่งครับ แต่ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ รู้ไปก็แค่นั้น มันจะเป็นเบอร์อะไร ขอให้มันวิ่งดี มีแรงแซง ประหยัดน้ำมันก็โอเคแล้ว จริงไหมครับ
ส่วนการปรับแก้เฟืองท้ายก็เพื่อเขาต้องการให้รถมันจัดขึ้นอีกหน่อย คือวิ่งดีขึ้นอีกหน่อย แต่มันก็ต้องได้อย่างเสียอย่าง เพราะจะวิ่งต้นดี ปลายก็จะหาย แต่ถ้าจะเอาปลายดี ก็ต้องแลกกับรอบต้นที่ออกตัวช้านิดหน่อยครับ
ยกตัวอย่างรถแข่งดริฟท์
- A31 ผมใช้เฟืองท้ายเบอร์ 4.1 เพราะผมชอบขับเร็วๆ ชอบพุ่งเข้าโค้งแรงๆ ซึ่งถ้าผมเล่นจนคุ้นเคยรถดี หรือรถยิ่งมีพลังมากกว่านี้ ผมอาจหาเบอร์ 3.9 มาใส่ก็เป็นได้ เพราะผมขับรถที่รอบสูงมากกว่ารอบต่ำ
- ในขณะที่รถวัยรุ่นอีกหลายท่านนิยมเบอร์ 4.3 เพราะเขาจะออกตัวได้เร็ว เร่งทำล้อฟรีได้ง่ายกว่า เริ่มต้นทำโดนัทจากจุดหยุดนิ่งได้ง่ายกว่า คือกดนิดเดียวรถก็ตอบสนองตามเท้าแล้ว ไม่ต้องสร้างรอบอะไรมารอมากมาย
ปล ผลตอบสนองของเฟืองท้ายจะขึ้นอยู่กับขนาดเส้นรอบวงของยางด้วยครับ